เปิดเบื้องหลังมติ มส. ตีแผ่ความจริง “ตัดสินพระธัมมชโยไม่ปาราชิก”

เปิดเบื้องหลังมติ มส. ตีแผ่ความจริง 
“ตัดสินพระธัมมชโยไม่ปาราชิก” 
กรณีพระลิขิต กรณีรับของโจร 
ตามหลักพระธรรมวินัย

          ช่วงนี้สื่อบางสำนักลงพาดหัวข่าวแบบเหมา มั่วเอา ว่า มหาเถรสมาคมเมินความเห็นของ DSI ไม่ให้พระธัมมชโยปาราชิก
         จริงหรือเท็จเรื่องผลการตัดสินของ พศ.และมส. ให้หลวงพ่อธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายไม่ต้องอาบัติปาราชิก จากถูกกล่าวหาว่ายักยอกเงินและที่ดิน ตามพระลิขิตสมเด็จพระสังฆราชนั้น เรามาดูกันว่าตามกรอบพระธรรมวินัยท่านมีการพิจาณาตัดสินกันอย่างไร?  ทำไมหลวงพ่อธัมมชโยไม่ปาราชิก? 


     
              ขอยกข้อความที่เจ้าคุณเบอร์ลินเขียนโพสต์ไว้ ท่านชี้แจงแถลงไขได้กระจ่างชัดเจน เห็นตัวอย่าง เข้าใจพระวินัยของพระอย่างแท้จริง
!!!!!!!!!!!!
ปาราชิก โทษประหารชีวิตความเป็นพระ: ใช่ว่าใครก็จะโจทย์ส่งเดชได้ง่าย

"กรรม ประกอบด้วยเจตนา"

>>> ผมได้โพสต์ครั้งก่อนข้อ "เจ้าคุณเบอร์ลิน กางวินัย ถกอาบัติกับพุทธอิสระ" ไปรอบหนึ่ง ปรากฏว่า ได้อานิสงส์ทันตา คือ พุทธอิสระ ถวายคดีหมิ่น มาให้คราวเดียวกับที่แก ไปแจ้งจับ มส. ม.157 ข้อละเว้น กรณีธัมมชโยไปเรียบร้อย.

>>> มาครั้งนี้ ด้วยยึดกุศลเจตนาเป็นที่ตั้ง ผมไม่คิดอะไรแล้วละครับ เรื่องคดีเรื่องเล็ก

เผยแพร่ธรรมะเรื่องใหญ่กว่า งวดนี้ผมก็จะชวนแกมาฟังเรื่อง

"ปาราชิก ของจริงของแท้บ้าง"

>>> หลังที่แกนำศิษย์เดินหลงทางมาทั้งชีวิตเกิด ส่วนเมื่อฟังเสร็จแกจะถวายคดีหรืออะไรผมมาอีกก็เรื่องของแกครับ แต่ถ้า "โจรเอาของมาถวาย ผมไม่รับนะครับ เดียวโดนข้อหารับของโจร ฮา เพราะข่าวว่า คดีแกเพรียบเลย บางคดีตัดสินไปแล้ว อายุความก็มีอยู่ด้วย ไงเดินฉุยฉายได้ไม่รู้"

>>> เมื่อวันที่แกไปนั่งหน้าตำรวจนั้น ข่าวว่า "ตำรวจอาจจะโดน ม. 157 ไปด้วย เพราะเจอผู้ต้องหาแล้วไปจับกุม" แต่เรื่องอธิกรณ์พระนี่ ให้ฟ้องศาลสงฆ์นะครับ
อย่าเผลอไปฟ้องศาลพระภูมิเข้าละ.

มาครับท่านผู้แสวงหาความรู้ทั้งหลาย เชิญมาเอาสาระ

มารับคติธรรมกับเรื่อง "อาบัติพระ"

>>>  ข้อปาราชิกกันต่อดีกว่าครับ ส่วนโต้รายวันนั้น ผมว่าชักจะไร้สาระแล้วละครับ
ใครจะออกข่าวว่า "จะแจ้ง จะร้อง มส. ที่นั่นที่นี่ ก็ปล่อยให้มันเซ่อจนตายไปเถอะครับ
บางคนที่โปรดไม่ขึ้น ก็ปล่อยมันบ้าไป".

>>> เมื่อวานเห็นว่า มีระดับ ศ. ดร. กฏหมาย อดีตคณะบดี มธ. จะชวนพวกมิฉาทิฏฐิไปร้องศาลปกครองโน่น "เที่ยวบอกชาวบ้านว่า มส. ตัดสินเรื่องวินัยของพระครั้งนี้ไม่ถูกต้อง
แต่ดันผ่ากล่าวหา มส. ว่า อาจผิดกฏหมายอาญา จะฟ้องศาลปกครองไปโน่น"
เอาเลยครับอย่าช้านะ คิดได้ไงเนี๊ยะ ดร. ม. บีช France ไปร้องเร็ว ๆ นะครับ

คงได้ฮากลั่น มธ. แน่.

.............................................
สาระ
"กรณีตัดสินให้พระเป็นปาราชิก"  เรื่องอาบัติพระนั้น มีความละเอียดอ่อน มีแง่มุมมาก แต่ก็ไม่ยากเกินที่จะทำความเข้าใจกันได้.
>>> วันนี้มีคนพูดถึงอาบัติพระกันมากครับ ถูกบ้าง ผิดบ้าง พูดเอามัน เอาสะใจเข้าว่าบ้าง ออกทะเลไปบ้าง โดยไม่คำนึงถึงว่า จะสร้างความเสียหายแก่พระศาสนากันเลย.
>>> แต่ถ้ามองอีกด้าน ก็เป็นเรื่องดีครับเพราะจะเป็นโอกาสแห่งการแสวงปัญญา เพื่อเสริมภูมิกันของชาวพุทธ จะได้รู้ได้เข้าใจเรื่องนี้กัน ก็คราวนี้แหละ.

"เรื่องการเป็นอาบัติ"
>>> กรณีหากพระภิกษุใด ทำผิดพระวินัยข้อใดข้อหนึ่ง ในจำนวนพระวินัย 227 ข้อ ก็จะเป็นอาบัติทันที ในทันทีที่กระทำ
>>> ซึ่งเมื่อรู้ตัวแล้ว สำนึกผิด ก็ออกจากอาบัติตามวิธีที่พระพุทธองค์ทรงกำหนดโทษไว้
(กรณีไม่ใช่อาบัติปาราชิก).

"ลำดับอาบัติพระ"
>>> ปาราชิก เป็นอาบัติที่มีโทษอย่างหนัก เป็นพระ ปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันที
>>> โทษอย่างกลาง เป็นสังฆาทิเสส ต้องเข้ากรรมจึงจะพ้นได้
>>> โทษอย่างเบา ต้องแสดงคืนอาบัติจึงพ้น.

"กระบวนการตัดสินทางสงฆ์"
>>> ในกรณีที่ภิกษุรูปใดถูกโจทก์ว่าเป็นอาบัติ อาจต้องด้วยไม่รู้ว่าเป็นอาบัติ
ต้องด้วยดื้อด้าน แต่ยังฟืนทำลง หรือต้องด้วยถูกใส่ความ ซึ่งขึ้นอยู่กับกรณี
ก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการปรับอาบัติ คือ กระบวนการตัดสินคดีความทางสงฆ์
ซึ่งไม่ใช่ถูกโจทก์แล้วก็จะเป็นอาบัติไปเลย โดยเกี่ยวข้องกัน 3 ส่วน คือ
1. อาบัติ ที่ถูกโจทก์
2.
ผู้โจทก์
3.
องค์คณะพระวินัยธรผู้วินิจฉัยอธิกรณ์.


"ในการตัดสินอธิกรณ์ นั้น"
>>> ผู้โจทก์ จะไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ตัดสินผู้ถูกโจทก์ว่า เป็นอาบัติหรือไม่ ทั้งยังไม่มีสิทธิ์ชี้นำ ด้วยผู้โจทก์มีหน้าที่ในการโจทก์ ไม่ใช่ผู้ไปตัดสิน
>>> ส่วนการตัดสิน จะเป็นหน้าที่ของพระวินัยธร ผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ ซึ่งสงฆ์มอบหมาย เรียกว่า "การกสงฆ์" (กา - รก)
>>> แม้พระพุทธเจ้าเอง ก็ทรงก็ใช้วิธีเดียวกันนี้
- ตรงนี้อย่าหลงประเด็นนะครับ อย่าไปตามกระแสที่สร้างข่าวชั่ว จากพระชั่ว ที่มันพยายามชักนำ แล้ววางกับดักไว้ให้เชื่อตาม เพื่อจุดประสงค์ของพวกมัน.
......ตรงนี้ขอแทรกว่า........
>>> ในกรณีพระลิขิต (ที่เรียกกัน)นั้น จึงไม่ใช่ "คำตัดสินพระลิขิตมีสถานะเป็นเพียงผู้โจทก์ ตามพระธรรมวินัย เท่านั้น.
>>> หากผู้โจทก์ เป็นผู้ตัดสินเองเสียด้วยแล้ว ก็จะผิดทั้งธรรมวินัย กฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคมเสียเอง นี่ไม่นับเรื่อง "นานาสังวาส"
ถ้าอย่างนี้ผู้ถูกโจทก์ ก็มีแต่ตายกับตายซีครับโยม.

"ยกตัวอย่าง"
>>> กรณีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชผู้โจทก์ พระธัมมชโย (อ้างตามพระลิขิต) ว่าเป็นอาบัติปาราชิก เพราะเอาที่ดินวัดมาเป็นของตน เฉพาะเพียงแค่ยึดพระลิขิตโจทก์เท่านี้ ก็มาตัดสินว่า พระธัมมชโย เป็นปาราชิกเสียแล้ว
>>> ก็จะเป็นการไม่ให้ความเป็นธรรม แก่ผู้ถูกโจทย์ ผิดหลักธรรมวินัย ทั้งไม่เปิดโอกาสให้พระธัมมชโยได้แก้ต่าง ด้วยวิธีวินิจฉัยอธิกรณ์ ตามหลักพระธรรมวินัยด้วย.
>>> ในกรณีนี้ ท่าน (พุทธเจ้าจึงมีศาลสงฆ์ไว้ให้ต่อสู้คดี หรือต่อสู้อธิกรณ์ที่ถูกฟ้อง
เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย.
>>> ตรรกะเดียวกัน อีกตัวอย่างหนึ่ง หากผมเจ้าคุณเบอร์ลินโจทก์พุทธอิสระว่า
"พุทธอิสระข่มขู่กรรโชกทรัพย์เขาที่โรงแรม แล้วได้มาเช่นนั้น พุทธอิสระก็ต้องเป็นอาบัติปาราชิก ไปแล้ว ใช่ไหม". นี่ ตย.
>>> กรณีนี้ ขอถามชาวพุทธทั่วประเทศ ที่มีใจเป็นธรรมดังๆ ว่า
พุทธอิสระ เป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ใช่หรือไม่.
>>> เรื่องนี้ ขอให้ช่วยกันตอบจากความยุติธรรมในหัวใจ 
อย่าตอบจากความอยุติธรรมที่มีอคติและขอให้ซื่อสัตย์ต่อพระธรรมวินัยของพระพุทธองค์ด้วย.
>>> เพราะหากพิจารณาตามตรรกะนี้ พุทธอิสระ ก็ขาดจากพระเสียไปแล้ว ในครั้งนั้น
ถามว่า ขาดจากความเป็นพระเพราะเหตุไร

มาดูคำตอบครับ
>>> ก็เพราะว่า สิ่งที่พุทธอิสระกระทำครบ "อวหาร" คือ อาการ 5 อย่าง
เหตุแห่งการตัดสิน "ปาราชิก" ชัดเจน คือ
1.เงินนั้นมีเจ้าของหวงแหน
2.ตัวพุทธอิสระเองก็รู้ว่าเขาหวงแหน
3.เงินนั้นเกินราคา 5 มาสก
4.พุทธอิสระมีจิตคิดจะกรรโชกเอาเงินนั้นมาจากเจ้าของ
5. เงินนั้นเคลื่อนจากฐานเดิมมาถูกมือพุทธอิสระ
หากวิเคราะห์อวหาร 5 แห่งปาราชิก ในกรณีที่พุทธอิสระ อาจเข้าข่ายขู่กรรโชกทรัพย์ครั้งนี้ชัด คือ
>>> เงินนั้นมีเจ้าของหวงแหน
>>> แม้ตัวพุทธอิสระเอง ก็รู้ว่าเขาหวงแหน แต่เขาจำเป็นต้องยื่นออกไปให้พุทธอิสระ
ก็ด้วยความเกรงกลัวต่อชีวิตและทรัพย์ส่วนอื่นๆ จะเสียหาย
>>> เงินนั้นเกินราคา 5 มาสก คิดราคาขณะทำผิดเท่ากับทองคำหนัก 1 บาท
>>> กรณีพุทธอิสระมีจิตเป็น "สจิตตกะ" คิดจะกรรโชกเอาเงินนั้นมาจากเจ้าของ.
ชัดเจนอีกส่วน คือ หากพิจารณาโดยอำนาจหน้าที่
>>> พุทธอิสระก็ไม่มีอำนาจ และหน้าที่อะไรที่โรงแรมแห่งนั้น ไม่ว่าทั้งทางพระธรรมวินัย และทางกฎหมาย พระไปทำไมตรงนั้น นี่จึงเป็นเหตุเชื่อได้ว่า
พุทธอิสระมีจิตเป็น "สจิตตกะ" อันเป็นอวหารที่สำคัญแห่งองค์ปาราชิก
แล้วเงินนั้น ก็เคลื่อนจากฐานเดิมมาถูกมือพุทธอิสระ แถมนับเพลินออกยูทูปเรียบร้อย.
>>> พฤติกรรมทั้งหมดนี้ ครบอวหาร 5 ประการ แห่งปาราชิก อย่าง สมบูรณ์ บริบูรณ์
ไม่ขาดแม้แต่ข้อเดียวเลยครับ.




กรณีโทษแห่งอาบัติ
พุทธอิสระ จึงขาดความเป็นพระทันที เน้นว่า "ทันที" โดยไม่ต้องรอพระวินัยธรตัดสินอธิกรณ์.
>>> ดังนั้น ในวันนี้ เมื่อเจ้าคุณเบอร์ลิน ตัดสินไปเช่นนี้ ดังแถลงแจ่มแจ้งมาดังนี้แล้ว
สมมติ พุทธอิสระ แน่จริงดังคุย ก็ต้องท้าว่า หากเห็นว่าเป็นปาราชิก ก็ฟ้องได้เลย
ไปแจ้งความได้เลย
>>> หากไม่ฟ้อง พุทธอิสระจะไปฟ้องหมิ่นประมาท (อีกแล้วครับท่านโทษฐานที่ เจ้าคุณเบอร์ลิน ทำให้อับอายขายหน้า (ไอ้นี่ชอบรักษาหน้าก็เชิญนะครับ มีคนแนะขนาดนี้ ไม่ขอบคุณก็เกินคนแล้วละ
>>> ผมว่า ตัวพุทธอิสระนั้น แกก็ไม่โง่นักหรอก น่าจะเป็นผู้ฉลาดในพระวินัยบ้าง
คือถึงยังไงก็ต้องรู้ว่า ตนเป็นอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระไปเรียบร้อยแล้ว
มันไม่ต้องรอให้ใครฟ้อง นับแต่มือแตะต้องเงินที่กรรโชกมา เงินก็ได้เคลื่อนจากฐานเดิม
ตรงนี้ก็ปาราชิกแล้ว ไม่ต้องรอให้ใครฟ้อง จริงไหมครับ "แมวแห่งแจ้งวัฒนะ".
>>> ทีนี้ สมมติ พุทธอิสระ เกิดหัวแมวชอบเป็นทนายกว่าเป็นพระ ไม่ยอมรับว่า ตัวเองเป็นอาบัติปาราชิกแล้ว ไม่ได้เป็นพระแล้ว หรือดื้อด้านแกล้งทำเป็นดื้อตาใส ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน กลบเกลื่อนด้วย "ทุมมังกุวิธี" คือ วิธีของพระเก้อยาก (อ่านว่า พระ-เก้อ-ยากหรือ วิธีของพระหน้าด้าน, พระหน้าหนา, พระไม่มียางอาย.

จะทำอย่างไรกันละ  มีวิธีครับ ไม่ยาก
>>> พระพุทธองค์ทรงเป็นสัพพัญญู รู้แจ้งโลก มีความเป็นธรรม รู้ว่ามนุษย์นี้มากเล่ห์เพทุบาย ลางทีอาจมีคนใส่ความ ใส่ร้ายป้ายสีกัน ดังนั้น พระองค์ จึงทรงให้มีพระวินัยธรผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ มาตัดสิน ไงครับ พูดง่ายๆ ให้มีศาลสงฆ์คอยตัดสินคดีความที่เกิดขึ้นในพระศาสนาของพระองค์

ไม่ใช่มาตัดสินคนเดียว ต้องตัดสินเป็นองค์คณะพระวินัยธร
นี่คือหลักธรรมวินัย


>>> เมื่อศาลสงฆ์ ซึ่งทำหน้าที่แทนสงฆ์ตัดสินไปแล้ว ก็ให้ถือเป็นที่สิ้นสุด ยุติ ห้ามรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่อีก เพราะจะวุ่นวายไม่จบสิ้น พระศาสนาก็จะบอบช้ำ เป็นที่เอื่อมระอาแก่หมู่คณะ สั่นคลอนศรัทธาของพุทธบริษัท.


เปิดเบื้องหลังมติ มส. ตีแผ่ความจริง “ตัดสินพระธัมมชโยไม่ปาราชิก” เปิดเบื้องหลังมติ มส. ตีแผ่ความจริง  “ตัดสินพระธัมมชโยไม่ปาราชิก” Reviewed by Mali_Smile1978 on 01:45 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.