"วิสาขบูชา" วันสำคัญสากลของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก
วิสาขบูชา (บาลี: วิสาขปูชา; อังกฤษ: Vesak) เป็นวันสำคัญสากลทางพระพุทธศาสนาสำหรับชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก ทั้งเป็นวันหยุดราชการในหลายประเทศ และวันสำคัญในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธโคดม โดยทั้งสามเหตุการณ์ได้เกิด ณ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่า เป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง
วันวิสาขบูชา เหตุใดจึงเป็นวันสำคัญสากลของโลก
วันวิสาขบูชา องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญสากลของโลก โดยเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 54 ได้พิจารณาระเบียบวาระที่ 174 International recognition of the Day of Visak ระบุว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดศาสนาหนึ่งของโลก ที่ได้หล่อหลอมจิตวิญญาณของมนุษยชาติมานาน ควรที่จะยกย่องกันทั่วโลก จึงประกาศให้วันวิสาขบูชา ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนพฤษภาคม เป็นวันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day)
สหประชาชาติตั้งวันวิสาขบูชา Vesak Day เป็นวันสำคัญสากลของโลก
โดยการเสนอของประเทศศรีลังกา และมีมติเป็นเอกฉันท์ในที่ประชุมสมัชชาครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนาสามารถเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงสั่งสอนทุกคนโดยไม่คิดค่าตอบแทน ในการพิจารณาประธานสมัชชาฯ ครั้งนั้นได้เชิญผู้แทนจากประเทศศรีลังกาขึ้นกล่าวนำเสนอร่างข้อมติ และเชิญผู้แทนไทย พม่า สิงคโปร์ บังลาเทศ ภูฐาน เนปาล ปากีสถาน อินเดีย สเปนขึ้นกล่าวถ้อยแถลง สรุปความได้ว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้มวลมนุษย์มีเมตตาธรรมและขันติธรรมต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้เกิดสันติสุขในสังคม อันเป็นแนวทางของสหประชาชาติ จึงขอให้ที่ประชุมรับรองข้อมตินี้ ซึ่งเท่ากับเป็นการรับรองความสำคัญของพุทธศาสนาในองค์การสหประชาชาติอีกด้วย ดังนั้น วันวิสาขบูชา จึงเป็นวันสำคัญสากลโลก เป็นวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันประสูติ: วันวิสาขบูชา Visakha Puja Vesak Day วันสำคัญสากลของโลก
ดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญปราศจากมลทิน โคจรไปในอากาศ
ย่อมสว่างกว่าหมู่ดาวบนท้องฟ้า ด้วยกำลังแห่งรัศมี ฉันใด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงอุบัติขึ้น
ย่อมรุ่งโรจน์กว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับเป็นที่สุดแห่งบุญลาภของสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระองค์ทรงขจัดความทุกข์ของมนุษย์ให้พบสุขอันเป็นนิรันดร์ เหมือนดวงจันทร์ที่ขจัดความมืดมิดในรัตติกาล ทำความสว่างไสวให้เกิดขึ้นบนท้องนภา การได้ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ ทำให้พระองค์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เหนือมนุษย์ทั้งหลาย เป็นครูทั้งของมนุษย์และเทวดา
นับย้อนหลังจากมหาภัทรกัปนี้ไปใน 4 อสงไขยแสนมหากัป พระบรมโพธิสัตว์ได้บังเกิดเป็นบุตรของเศรษฐีในเมืองอมราวดี เมื่อบิดามารดาตายหมดแล้ว จึงคิดว่า “ทรัพย์สมบัติมากมายที่บรรพบุรุษของเราได้สั่งสมต่อๆ กันมาขนาดนี้ ไม่เห็นมีใครนำติดตัวไปได้สักคนเดียว ดังนั้น จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะมาหลงใหลมัวเมากับทรัพย์สมบัติเหล่านี้” ว่าแล้วก็บริจาคทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่หลายร้อยโกฏิให้เป็นทานจนหมด ออกบวชบำเพ็ญพรตมีนามว่า “สุเมธดาบส”
ต่อมาท่านได้มีโอกาสพบพระทีปังกรพุทธเจ้า ได้ทอดตนเหนือโคลนตามเป็นสะพานให้พระพุทธองค์ได้ก้าวข้ามไป แล้วตั้งความปรารถนาต่อเบื้องพระพักตร์ของพระบรมศาสดาว่า “ในอนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์ได้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเหมือนดังเช่นพระพุทธองค์ด้วยเถิด”
พระทีปังกรพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยพุทธญาณว่า “บุคคลนี้คือพระโพธิสัตว์ที่สั่งสมบารมีมายาวนาน” จึงมีพุทธพยากรณ์ว่า ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าสมหวังดังใจปรารถนา”
เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว ท่านก็ทุ่มเทสร้างทสบารมีและได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่อยมาถึง 25 พระองค์ ทรงบริจาคโลหิตเป็นทานมากกว่าน้ำในมหาสมุทรทั้งสี่ ทรงสละเนื้อเป็นทานมากกว่ามหาปฐพี ทรงสละพระเศียรเป็นทานก็สูงกว่าเขาพระสุเมร และทรงสละดวงพระเนตรเป็นทานมากกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
หัวใจของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายยิ่งใหญ่เกินผู้ใดในอนันตจักรวาล แม้รู้ว่าสกลจักรวาลทั้งสิ้น เต็มด้วยถ่านเพลิงอันร้อนแรง เต็มไปด้วยหอกและหลาวที่แหลมคม หรือเต็มด้วยน้ำปริ่มฝั่งแล้ว หากสามารถก้าวข้ามได้ จะได้ตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ตัดสินใจที่จะทอดเท้าก้าวข้ามไป เพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญญุตญาณอันประเสริฐ
เมื่อพระบรมโพธิสัตว์สั่งสมบารมีทั้ง 30 ทัศ เต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว ก็ได้กลับขึ้นไปเสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต เป็นท้าวสันดุสิตเทวราชจอมเทพแห่งดุสิตเทวภูมิ ครั้นได้เวลาอันเป็นอุดมมงคล เทวดาในหมื่นจักรวาลได้พร้อมใจกันเข้าไปทูลอาราธนาให้เสด็จลงไปตรัสรู้ธรรมในมนุษยโลกว่า
ข้าแต่พระมหาวีระเจ้า บัดนี้เป็นกาลสมควรแล้ว ขอได้โปรดอุบัติในพระครรภ์พระมารดา เพื่อตรัสรู้อมตธรรม นำพาโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามสังสารวัฏอันยาวไกลไปสู่นิพพานด้วยเถิด
พระบรมโพธิสัตว์ครั้นได้ทรงสดับการอาราธนาให้ลงไปจุติเพื่อตรัสรู้ธรรมแล้ว ก็ทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะว่า “เราจะไปบังเกิดที่ไหนดี”
ทรงพิจารณาอายุของสัตว์โลก ว่า ธรรมดาของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะอุบัติขึ้นในยุคสมัยที่มนุษย์มีอายุระหว่าง 100 ปี ถึง 1 แสนปีเท่านั้น เพราะถ้าหามนุษย์มีอายุมากกว่า 1 แสนปี ก็จะไม่เข้าใจเรื่องชาติ ชรา มรณะ เนื่องจากมีอายุยืนยาว จึงมากไปด้วยความประมาท เมื่อพระศาสดาตรัสสอนเรื่องไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็จะไม่เชื่อฟัง แต่ครั้นมนุษย์มีอายุต่ำกว่า 100 ปี ก็จะมีจิตใจหนาไปด้วยกิเลส คนอายุน้อย ไม่มีเวลาพอที่จะศึกษาธรรมะ มัวแต่ทำมาหากินและหลงใหลในโลกียวิสัย
ทรงพิจารณาทวีปทั้ง 4 คือ บุพพวิเทหทวีป อุตตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป และชมพูทวีป ทรงเห็นว่าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงอุบัติขึ้นในชมพูทวีปเท่านั้น
ทรงพิจารณาเห็นมัชฌิมประเทศ เป็นสถานที่บังเกิดขึ้นของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงเลือกที่จะถือกำเนิดในขัตติยตระกูล และพิจารณาเห็นว่าสตรีผู้สมควรเป็นพุทธมารดา คือพระนางสิริมหามายา เพราะพระนางได้สั่งสมบารมีมาแสนกัปบริบูรณ์ เป็นสตรีผู้รักษาศีลห้าได้บริสุทธิ์เป็นปกติ
ครั้นทรงพิจารณาปัญจมหาวิโลกนะแล้ว จึงรับอาราธนาของท้าวมหาพรหมและเทพยดาทั้งหลาย เสด็จจากทิพยนันทวันอุทยาน ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางสิริมหามายาราชเทวี อัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์
เมื่อวันอาสาฬหปุรณมีมาถึง พระนางสิริมหามายาได้ทรงบริจาคทานตามปกติ เสวยโภชนาหารอันประณีต ทรงสมาทานอุโบสถศีลดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำ แล้วเสด็จเข้าสู่ห้องบรรทม ทรงนิทรารมย์ในปฐมยามแห่งราตรี ครั้นเวลารุ่งสว่าง พระนางได้ทรงสุบินนิมิตว่า
“ท้าวจาตุมหาราชทั้ง 4 ได้พร้อมใจกันมาอัญเชิญพระนางไปพร้อมทั้งพระแท่นที่ประทับ นำไปยังป่าหิมพานต์ แล้วประดิษฐานลงบนแผ่นหินใหญ่ ภายใต้ต้นรัง ขณะนั้น มีนางเทพธิดามาเชิญพระนางให้เสด็จไปสรงน้ำในสระอโนดาต ลูบไล้ด้วยของหอม ประดับด้วยทิพยบุปผา จากนั้นก็อัญเชิญพระนางให้เสด็จเข้าบรรทมในวิมานทองซึ่งประดิษฐานอยู่บนยอดภูเขาเงิน ในขณะนั้น ได้มีพญาช้างเผือกเชือกหนึ่ง ลงมาจากภูเขาทองมาสู่ห้องบรรทมของพระนาง ชูงวงถือดอกบัวขาวมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่ววิมาน เวียนประทักษิณพระนางครบ 3 รอบแล้ว ปรากฎเสมือนหนึ่งว่า เข้าสู่พระอุทรทางด้านเบื้องขวาของพระนาง”
ในขณะที่พระนางสิริมหามายาทรงสุบินนิมิตนั้น พระบรมโพธิสัตว์เสด็จจุติลงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนาง ขณะนั้น ก็พลันบังเกิดกัมปนาท แผ่นดินไหวมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ บุพนิมิต 32 ประการได้ปรากฏขึ้นแล้วในหมื่นจักรวาล ครั้นเวลารุ่งเช้า พระนางเจ้าสิริมหามายาได้กราบทูลเล่าสุบินนิมิตให้พระสวามีทรงทราบ พระเจ้าสุทโธทนะจึงรับสั่งให้เชิญพราหมณ์ปาโมกข์โหราจารย์ทั้งหลายเข้าเฝ้า เพื่อให้ทำนายสุบินนิมิตของอัครมเหสี
โหราจารย์ทั้งหลายฟังแล้ว ก็กราบทูลพยากรณ์ว่า “พระสุบินนิมิตของพระราชเทวี เป็นมหามงคลอันประเสริฐ พระองค์จะได้พระโอรสที่เลิศกว่าบุรุษทั้งปวง มีบุญญาธิการยิ่งใหญ่ มีอานุภาพมาก จะได้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์ หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ถ้าสถิตอยู่ในเพศฆราวาสวิสัย จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าออกบรรพชาจะได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระศาสดาเอกในโลก”
นับตั้งแต่พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในพระครรภ์ บรรดากษัตริย์เมืองต่างๆ ได้ส่งราชบรรณการมาถวายพระเจ้ากรุงกบิลพัสดุ์เป็นจำนวนมาก และขณะที่พระองค์ประทับอยู่ในพระครรภ์ก็มิได้รู้สึกว่าคับแคบ พระมารดามีพระวรกายเบาสบายเหมือนมิได้ทรงพระครรภ์ สามารถทอดพระเนตรราชโอรสที่กำลังประทับนั่งขัดสมาธิ (Meditation) คู้บัลลังก์อยู่ในพระครรภ์ได้อย่างชัดเจน
เมื่อพระนางทรงพระครรภ์ครบถ้วนทศมาส มีพระทัยปรารถนาจะเสด็จกรุงเทวทหะอันเป็นพระราชสกุลเดิม ในเช้าวันวิสาขปุรณมี พระนางได้เสด็จโดยเสลี่ยงทองแวดล้อมด้วยบริวารออกจากพระนคร เสด็จโดยลำดับจนเข้าสู่เขตป่าลุมพินี เป็นสถานที่รื่นรมย์สวยงาม บริบูรณ์ด้วยดอกไม้และไม้ผลนานาชนิด พระนางปรารถนาจะเสด็จเข้าไปประทับพักผ่อนเพื่อทัศนาชมราชอุทยาน บรรดาหมู่อำมาตย์จึงจัดสถานที่ให้เสด็จเข้าไปประทับใต้ร่มสาละ
ขณะที่พระนางทรงสำราญอิริยาบถอยู่นั้น เมื่อทรงยกพระหัตถ์จับกิ่งสาละ ก็บังเกิดลมกัมมัชวาต เจ้าหน้าที่พนักงานจึงรีบช่วยกันจัดสถานที่อันเหมาะสม มีการผูกม่านแวดล้อมภายใต้ต้นสาละ ครั้นเวลาใกล้เที่ยง พระนางสิริมหามายาได้ประสูติพระโอรสผู้อุดมเลิศด้วยมหาปุริสลักษณะครบถ้วน 32 ประการ
“ เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐในโลก เราเป็นเจริญที่สุดในโลก
ความเกิดของเรานี้ เป็นชาติสุดท้าย ภพใหม่ของเราไม่มีอีก”
วันตรัสรู้ : วันวิสาขบูชา Visakha Puja Vesak Day วันสำคัญสากลของโลก
ครั้นพระองค์ทรงเจริญวัยขึ้น ก็ศึกษาความรู้จากครูที่มีความรู้อันสูงสุดของแผ่นดิน ท่านใช้เวลาเพียงแค่ 7 วันเท่านั้น ก็เรียนจนหมดภูมิความรู้ของครูที่อุตสาหศึกษามาตลอดชีวิต แม้พระองค์จะทรงพรั่งพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ประมาทในชีวิต ครั้นได้ทอดพระเนตรเทวทูต คือ เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และก็เห็นสมณะ ก็คิดได้ว่า ต้องเลือกชีวิตสมณะ เพราะเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่สุด ที่จะมุ่งไปสู่หนทางพ้นทุกข์ ท่านจึงเสด็จออกผนวชเมื่อได้ 29 พรรษา และได้ทรงม้ากันฐกะ ออกผนวชที่ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา
หลังจากได้บำเพ็ญเพียรมายาวนานถึง 6 ปี ภายใต้ต้นอัสสัตถพฤกษ์ ในวันนั้น พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ซึ่งแม้สายฟ้าจะผ่าลงตั้ง 100 ครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐาน
“แม้เลือดและเนื้อในกาย จักแห้งเหือดเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตาม
ตราบใดที่เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้รู้ ได้เห็นธรรมอันยิ่งแล้ว
จักไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จักนั่งอบรมกาย วาจา ใจ ให้ละเอียดถึงที่สุดให้ได้ ”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา Visakha Puja (Vesak Day) พอพญามารรู้เข้า ก็สะดุ้งพรึบกันทั้งภพทีเดียว ได้เข้ามาสิงบังคับท้าวปรนิมมิตสวัตดี ให้เป็นเทวบุตรมาร แล้วก็พากันยกพลพักมารมาข่มขู่ มาอ้างสิทธิ์ว่า ที่ตรงนี้น่ะ เป็นที่ของพญามาร โดยมีเสนามารพร้อมด้วยพรรคพวกของตัวมาร พระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่หวั่นไหว ท่านนั่งทำใจหยุดใจนิ่งอย่างเดียว ในที่สุดพระองค์ก็สามารถเอาชนะได้ ด้วยอานุภาพแห่งบารมีธรรม ที่สั่งสมมาอย่างดีแล้ว
พระมหาบุรุษทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยองค์ 12 โดยอนุโลมและปฏิโลม หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว 12 ครั้ง จนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด พระมหาบุรุษได้ทรงบรรลุสัพพัญญุตญาณ ในเวลาอรุณขึ้นทรงตรัสรู้ในวันวิสาขบูชา ทรงตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
เมื่อพระมหาบุรุษทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว โลกันตนรกกว้าง 500 โยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างด้วยแสงพระอาทิตย์ 7 ดวง ก็ได้มีแสงสว่างไสวเป็นอันเดียวกัน มหาสมุทรลึก 84,000 โยชน์ ได้กลายเป็นน้ำหวาน แม่น้ำทั้งหลายหยุดไหล คนบอดแต่กำเนิดก็มองเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดก็กลับได้ยินเสียง คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ กรรมกรณ์ทั้งหลายมีเครื่องจองจำ เป็นต้น ได้ขาดหลุดไป !! พระมหาบุรุษได้รับการบูชาจากเหล่าทวยเทพด้วยสมบัติอันประกอบด้วยสิริหาปริมาณมิได้ ทรงเปล่งอุทานว่า
“เราเมื่อแสวงหานายช่างคือตัณหา ผู้กระทำเรือน
เมื่อไม่ประสบ ได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อยการเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
ดูก่อนนายช่างผู้กระทำเรือน เราเห็นท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนไม่ได้อีกต่อไป
ซี่โครงทั้งปวงของท่าน เราหักแล้ว ยอดเรือนเรากำจัดแล้ว
จิตของเราถึงวิสังขารคือนิพพานแล้ว เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว”
วันปรินิพพาน: วันวิสาขบูชา Visakha Puja Vesak Day วันสำคัญสากลของโลก
เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา และวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 1 ปี ณ ป่าสาลวัน เมืองกุสินารา วันนี้...เป็นวันที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน รูปกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อแตกดับลง คงเหลือแต่พระธรรมกาย เสด็จสู่พระนิพพาน ก่อนจะเสด็จดับขันธ์นั้น ยังทรงมีมหากรุณาประทานปัจฉิมโอวาทแก่พุทธบริษัทว่า
"สังขารร่างกายของเราไม่เที่ยง มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยย่อ ซึ่งเป็นต้นแบบอย่างดีให้พวกเราได้ทำตาม พระองค์เป็นบรมครูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกจากอดีตมาจนกระทั่งปัจจุบัน ดังนั้น ในวันเพ็ญเดือนหกของทุกปีหรือวันวิสาขบูชา พุทธบริษัทรวมใจ จุดวิสาขประทีป น้อมถวายเป็นพุทธบูชาในวันวิสาขบูชา
ดังนั้นวันวิสาขบูชา นับเป็นวันสำคัญ เป็นโอกาสทองที่ชาวพุทธทั่วโลกจะได้สั่งสมบุญใหญ่ด้วยการตรึกระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติบูชาด้วยการทำทาน รักษาศีลและเจริญสมาธิภาวนา รวมทั้งจุดประทีป น้อมถวายเป็นพุทธบูชา
“ชนเหล่าใด ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด ชนเหล่านั้น ละโลกนี้ไปแล้ว จักไม่ไปสู่อบายภูมิ เมื่อละกายมนุษย์นี้แล้ว จักยังหมู่เทวดาให้บริบูรณ์”
“สุโข พุทฺธานมุปฺปาโท การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นำสุขมาให้”
1. พระธรรมเทศนาโดย : พระเทพญาณมหามุนี , http://goo.gl/h36jcY
อ้างอิง:
2. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, https://goo.gl/1LpjWN
"วิสาขบูชา" วันสำคัญสากลของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก
Reviewed by Mali_Smile1978
on
04:01
Rating:
ไม่มีความคิดเห็น: