วิบัติเพราะอาศัยปาก จิตมืดบอดด่าพระอรหันต์ ดั่งเรื่องพระโกกาลิกะ

       การพูดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกๆ คน จะล้มเหลวหรือจะประสบความสำเร็จในชีวิตก็อาศัยวาจาที่เปล่งออกมาจากปากนี่แหละ ก่อนเปล่งถ้อยคำเรายังเป็นนายของคำพูด ครั้นเมื่อพูดออกไปแล้ว คำพูดนั้นจะเป็นนายของเรา เพราะฉะนั้น เราต้องระมัดระวังคำพูด ต้องรู้จักใช้วาจาให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อส่วนรวม และต่อชาวโลก


"ไพบูลย์ "ขู่แฉมลทิน"สมเด็จช่วง" จับตาประชุม11ม.ค.ตั้งสังฆราช.... 
“ไพบูลย์” เปิดหลักฐานใหม่มัด “สมเด็จช่วง” เซ็นเช็ค 1 ล้าน ซื้อรถเบนซ์โบราณหรู.... 
นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธาน สปช. และ นพ.มโน เลาหวณิช...ยื่นคำร้องกล่าวหาการล่วงละเมิดพระธรรมวินัยของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ...เป็นต้น

       จากการได้อ่านข่าวตามสื่อต่างๆ ที่ออกมาตีแผ่วิพากษ์ วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องพระภิกษุ พฤติกรรมของพระ ข้อมูลจริงกี่เปอร์เซ็นต์เท่าไหร่? นั้นเรามิอาจทราบ เพราะนั้นเป็นการรับสื่อชั้นแรกเท่านั้น พอไล่อ่านดูคอนเม้น โอ้ อึ้งกันเลย ว่าชาวพุทธหรือนี่  ถึงใช้คำพูดที่ขาดความเคารพพระภิกษุสงฆ์ขนาดนี้เชียวหรือ? โดยเฉพาะกลุ่มคนเดิมๆ ที่เราเห็นจนชินตา ดูแล้วช่างมีความชำนาญหาเรื่องให้พระ ชอบออกมากล่าวจาบจ้วง ใส่ร้าย ไม่ให้เกียรติ เคารพพระ โดยเฉพาะกับพระมหาเถระ ซึ่งท่านกำลังจะเป็นสมเด็จพระสังฆราช ท่านถือเป็นประมุขสงฆ์ของประเทศไทย ท่านเจ้าประคุณเปี่ยมด้วยคุณธรรมและสร้างคุณูปการมากมายให้กับชาติบ้านเมืองและพระพุทธศาสนามาตลอด

       เมื่อสังเกตดูพฤติกรรมกับพวกกลุ่มคนเหล่านี้มาอย่างต่อเนื่อง ปากบอกว่ารักพระพุทธศาสนาแต่ไม่เคยเห็นทำสิ่งใดที่จะเป็นการจรรโลงและประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาสักโครงการ ตรงกันข้ามพฤติกรรมของพวกเขาเหล่านี้ส่อเป็นการทำลาย ตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ สร้างความปั่นป่วน เดือดร้อนให้กับสังคมโดยรวม ซึ่งพฤติกรรมเข้าข่ายตามวิธีการของแผนชั่วล้มพุทธ หลายท่านอาจยังไม่รู้ ศึกษาความจริงตามลิงค์นี้ได้เลยค่ะ http://wakeupbuddhist.blogspot.co.uk/2016/02/blog-post_32.html 




       พูดมาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเรื่องราวในสมัยพุทธกาล ขอนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ เพื่อเป็นคติเตือนใจ โดยเฉพาะยุคที่มีข้อมูลล้นจอ มาเร็ว ไปเร็ว ทำให้คนยุคนี้ คิดเร็ว พูดเร็ว จนบางทีเป็นการก่อกรรมชั่วให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว เรื่องการใช้คำพูดด่า บริภาษพระอรหันต์ ยังไม่ถึงกับทำร้าย จาบจ้วงตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ เยี่ยงพฤติกรรมของคนบางกลุ่มในปัจจุบันนะค่ะ กรรมยังหนักมากส่งผลต่อผู้กระทำชั่วทางปาก แบบทันตาเห็นกันเลยทีเดียว ดั่งเรื่องพระโกกาลิกะ 

       เรื่องมีอยู่ว่า พระโกกาลิกะมีจิตผูกอาฆาตในพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ เนื่องจากไม่ชอบใจที่หลังจากออกพรรษาแล้ว พระเถระทั้งสองรูปไม่ได้รับไทยธรรมที่ญาติโยมนำมาถวายให้ ทำให้ตนเองพลอยไม่ได้ลาภสักการะไปด้วย จึงหาทางคอยแต่จะแก้แค้นพระเถระทั้งสองอยู่ตลอดมา เพราะความน้อยใจและแค้น ผูกโกรธ ต่อมาท่านถูกญาติโยมขับออกจากวัด ก็ถือบาตรจีวรไปขออาศัยอยู่ตามวัดต่างๆ พระวัดอื่นรู้ว่านี่คือ พระโกกาลิกะ ผู้ด่าว่าพระอัครสาวก จึงไม่มีใครอยากจะรับไว้ เพราะกลัวว่าจะมาทำให้สงฆ์เสื่อมเสีย และกลัวพระในวัดจะแตกความสามัคคี 





       สุดท้ายเมื่อมองไม่เห็นที่พึ่งอื่นแล้ว จึงเดินทางไปวัดพระเชตวันเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แต่เมื่อไปเข้าเฝ้าแล้วแทนที่จะพูดเรื่องจริง ก็ไปโกหกพระพุทธองค์ กล่าวหาใส่ร้ายท่านพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะว่า “มีความปรารถนาลามก เป็นคนมักมาก เป็นผู้ยินดีในลาภสักการะ ได้พาภิกษุไปเบียดเบียนตัวเอง จนตัวเองต้องเดือดร้อน ไร้ที่อยู่อาศัย” แล้วพระโกกาลิกะยังกล่าวคำโกหกไม่เลิก ย้ำอีกว่า "ข้าพระองค์เห็นประจักษ์มากับตาแล้วว่า พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะล้วนเป็นคนมักมาก มีลับลมคมใน เป็นผู้ทุศีลทั้งนั้น” พระบรมศาสดาตรัสห้ามถึง 3 ครั้งว่า "อย่าไปกล่าวร้ายพระอรหันต์เลย" แต่พระโกกาลิกะไม่ยอมเชื่อ ว่าแล้วก็ยังลุกจากไปโดยไม่เคารพยำเกรงต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

       เราจะเห็นว่า จิตใจและพฤติกรรมของคนพาลนั้น ไม่ยอมรับเหตุผล ไม่ยอมรับความเป็นจริง แม้ผู้เป็นบัณฑิตมีเมตตาตักเตือน ชี้ทางถูกให้ แต่คนพาลยังเป็นกระต่ายยืนขาเดียว ยึดมั่นในความคิดตน มีทิฏฐิมานะ อวดดี คิดว่าตัวเองถูกต้องเสมอ นี้เพราะกิเลสแห่งความน้อยใจและความแค้นครอบงำจิต


       เมื่อพระโกกาลิกะเดินลับคลองจักษุของพระผู้มีพระภาคเจ้าไปเท่านั้น ทั่วทั้งเรือนร่างของท่าน ก็เกิดเม็ดตุ่มประมาณเท่าเมล็ดผักกาด ค่อยๆ พุพองใหญ่ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนเท่าผลพุทรา แล้วโตใหญ่ขึ้นขนาดผลมะตูมสุก จากนั้นตุ่มก็แตกออกเป็นน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลโทรมกาย ส่งกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งออกจากตัว ท่านต้องนอนเจ็บปวดทุรนทุราย ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ พระโกกาลิกะทนความเจ็บปวดไม่ไหวก็สิ้นใจตาย แล้วไปบังเกิดในปทุมนรก ต้องรับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเป็นเวลายาวนาน

       จากเรื่องนี้จะเห็นว่า การที่เราจะกล่าวหาใครสักคน ควรต้องระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ อย่าพูดเพียงเพราะใจมีอคติหรือไม่พอใจใคร หรือด้วยผลประโยชน์ เจตนาเป็นอกุศล ต้องรู้จักใช้วาจาในทางสร้างสรรค์ที่ให้เกิดประโยชน์ดีกว่า ให้รู้จักใช้วาจาที่ยกใจผู้ฟังให้สูงขึ้น ไม่ใช่คอยแต่จะชวนทะเลาะ คอยจับผิด ใส่ร้าย สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น โดยเฉพาะการสร้างวาทกรรมชั่ว ต่อพระภิกษุ ผู้ทรงศีล วิบากกรรมนี้หนักหนาสาหัส...หยุดเถอะค่ะ...ควรพูดจาให้เหมือนอารยชน พูดแต่วาจาสุภาษิตกันค่ะ


เพราะในโลกนี้ไม่มีใครใหญ่เกินกรรม




                                                                                              เรียบเรียงโดย มะลิ สไมล์


อ้างอิงที่มา:
1.พระไตรปิฎก เล่มที่ 25  หน้าที่  ๔๑๐ - ๔๑๕.
 http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=9435&Z=9555&pagebreak=0
2. โทษของการว่าร้ายผู้อื่น, http://goo.gl/UixNWo
3. http://www.posttoday.com/social/general/425656

วิบัติเพราะอาศัยปาก จิตมืดบอดด่าพระอรหันต์ ดั่งเรื่องพระโกกาลิกะ วิบัติเพราะอาศัยปาก จิตมืดบอดด่าพระอรหันต์ ดั่งเรื่องพระโกกาลิกะ Reviewed by Mali_Smile1978 on 20:52 Rating: 5

3 ความคิดเห็น:

  1. คนจิตใจมืดบอดเท่านั้นที่ไม่เห็นคุณความดีของสมเด็จวัดปากน้ำ ไม่เพียงเท่านั้น ยังกล่าวจาบจ้วง ท่านอีก ได้ไปอยู่ขุมลึกๆแน่นอนค่ะ

    ตอบลบ
  2. มีปัญญาเบาย่อมมีอันตรายในวัฐสงสารนี้ แม้มีพร้อมด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ แต่ขาดปัญญาสมบัติแล้วยังขาดกัลยาณมิตรอีกมีโอกาสไปทุติยภูมิคือปรโลกสูงมาก มั่นเจริญสมาธิ อธิฐานจิตดีๆน่ะครับอย่าให้เหมือนคนกลุ่มนี้

    ตอบลบ
  3. แม้มีตัวอย่างให้เห็นแล้ว แต่ตราบใดที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลย่อมสำคัญว่า บาปนั้น หอมหวานปานน้ำผึ้ง ต่อเมื่อใดที่บาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้นแล

    ตอบลบ

ขับเคลื่อนโดย Blogger.