สิ่งที่น่าสงสารที่สุดของคน ก็คือไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเองดั่งเรื่องลาโง่


วัดแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนเขามีลาตัวหนึ่งทุกๆ วันอยู่แต่ในโรงโม่เพื่อลากเครื่องโม่เป็นอยู่เช่นนี้วันแล้วปีเล่า ลาเริ่มที่จะเบื่อหน่ายกับชีวิต ที่ไร้ความตื่นเต้น ความเร้าใจ

มัน..ครุ่นคิดอยู่ทุกวี่วันว่า
หากได้ออกไปดูโลกภายนอกไม่ต้องลากโม่ เป็นเช่นนั้นได้คงจะยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

ไม่นาน..โอกาสก็มาถึงจนได้ พระภิกษุรูปหนึ่ง จูงมันลงเขาเพื่อบรรทุกของ มันดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อลงมาถึงแล้ว พระภิกษุนำสิ่งของวางลงบนหลังของมัน จากนั้นเดินทางกลับวัด

ไม่คาดคิด ผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนเมื่อเห็นลาแล้ว ล้วนคุกเข่าลงกราบไหว้ แรกเริ่ม ลาสับสนงงงวยมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ผู้คนจึงคุกเข่ากราบไหว้ตัวมัน มันรีบหลบฉากถอยหนี

ทว่า..เดินต่อไปเรื่อยๆ ผู้คนที่พบเจอมัน ก็ยังคุกเข่ากราบไหว้มันอยู่เช่นเดิม

ลา...เริ่มรู้สึกตัวเบาจะลอยแล้ว คิดในใจว่าที่แท้ผู้คนล้วนบูชาข้า
ยามที่มันเดินต่อไปเรื่อยๆ พบเจอผู้คนเดินสวนมา มันก็จะยืนอยู่กลางถนน ด้วยท่าทีที่หยิ่งผยอง รอรับการกราบไหว้จากผู้คนอย่างภาคภูมิใจ

เมื่อกลับมาถึงวัด ลา..คิดว่าตนเองมีฐานะที่สูงส่ง เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมลากโม่อีกต่อไป พระภิกษุล้วนไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ปล่อยมันลงจากเขาไป

ลา..พึ่งจะลงจากเขา ก็เห็นผู้คนกลุ่มหนึ่งแต่ไกล กำลังตีกลองเดินมาทางที่มันอยู่ ลาคิดในใจว่า คนพวกนี้ ต้องมาต้อนรับมันอย่างแน่นอน

เลยเดินก้าวย่างไปบนกลางถนนอย่างสง่าผ่าเผย ขบวนผู้คนกลุ่มนี้ เป็นขบวนแห่ขันหมาก กลับถูกลาตัวหนึ่งขวางทาง

ผู้คนต่างโมโหโกรธอย่างยิ่งคว้าเอาไม้กระบองไล่ทุบตี
ลา..หวาดกลัวหนีกลับวัดด้วยความทุลักทุเล เมื่อถึงวัด เหลือเพียงลมหายใจที่รวยริน

ก่อนตาย.มันพูดกับพระภิกษุด้วยความโกรธอย่างยิ่งว่า

แท้จริงแล้ว...จิตใจของมนุษย์ช่างน่ากลัวนัก ตอนลงเขาครั้งแรก ผู้คนล้วนคุกเข่ากราบไหว้ข้า ทว่า วันนี้กลับลงมือทุบตีข้า ด้วยความโหดเหี้ยม

พระภิกษุ..ถอนหายใจแล้วพูดว่า เจ้าเป็นลาที่โง่เขลาอย่างแท้จริง

วันนั้นผู้คนกราบไหว้นั้น เป็นพระพุทธรูปที่อยู่บนหลังของเจ้านั่นเอง

ตระหนักรู้อะไรจากเรื่องลาโง่???

สิ่งที่น่าสงสารที่สุดของคนเรา ก็คือไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเอง

ตลอดชีวิต บางครั้ง ขึ้นที่สูงแล้วหลงลืมตัวตน เพราะหลงเปลือกที่ห่อหุ้ม อาชีพ หรือ หน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติในสังคม บางครั้งก็เปรียบเหมือนนักแสดง เมื่อก้าวพ้นลงจากเวทีชีวิตที่คุณเคยแสดงบทบาทอะไรก่อนหน้านี้ เรา..ก็ไม่ใช่แล้ว


     ทุกๆวัน พวกเราต่างก็มีกระจก ทว่า ยามที่พวกเราส่องกระจกเรากลับมองไม่เห็นความเป็นจริงที่อยู่ข้างใน ว่าเราคือใคร


เคยถามตัวเองหรือไม่ว่า เรารู้จักตัวเองหรือไม่?
เราเป็นใคร? เคยมาจากใหน?
เราลืมตัวตนที่มาของเราหรือไม่?

จิตวิญญาณ ข้างในสิ่งที่เราเป็น ตอนเริ่มต้นมันถูกแปรเปลี่ยนไปด้วย ลาภ ยศ คำสรรเสริญ เยินยอ หรือไม่

สิ่งเหล่านั้นมันทำให้เรา หลงลืม ที่มาหรือไม่ ความ กตัญญู เคารพ อ่อนน้อม ถ่อมตน ล้วนเป็นคุณสมบัติของผู้ที่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วตัวตนข้างใน ของเรา เราคือ ใคร

อย่าให้ พระพุทธรูป บนหลังลาตัวนั้น ที่คนกราบใหว้ ทำให้เราเข้าใจหลงผิดเป็นเหมือนลาโง่ ตัวนั้น

เพราะไม่ว่าเราจะสูงส่งยิ่งใหย่สักเพียงใหน ถึงวันหนึ่ง ทุกคนล้วนต้องกลับลงมาอยู่เท่าเทียมกันในธุลีดิน

ยิ่งสูง ต้องยิ่ง อ่อนน้อม
ต้องยิ่งเข้าใจชีวิต
ยิ่งใด้รับ ต้องยิ่ง ให้กลับ
เข้มแข็งอ่อนโยนแต่อย่าอ่อนแอ รู้จักแพ้เป็น ชนะเป็น
เรียนรู้ ข้ามผ่านเวลาขึ้นให้รู้ขึ้นอย่าหลงลืมตน
เวลาลงให้รู้ลง มีสติหยั่งรู้
ว่าเราคือใคร แค่เข้าใจชีวิต

เพื่อจะใด้ไม่ต้องนั่งเสียใจ
ที่กว่าจะรู้ก็เป็นวันสุดท้ายของชีวิต. เหมือนลาโง่ตัวนั้น


ขอบคุณข้อมูล
- https://www.facebook.com/skdh.med16kku?hc_ref=NEWSFEED
ขอบคุณภาพจาก google
สิ่งที่น่าสงสารที่สุดของคน ก็คือไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเองดั่งเรื่องลาโง่ สิ่งที่น่าสงสารที่สุดของคน ก็คือไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของตนเองดั่งเรื่องลาโง่ Reviewed by Mali_Smile1978 on 00:56 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น:

ขับเคลื่อนโดย Blogger.