ไขข้อสงสัย เรื่องภิกษุณี...(พุทธเถรวาท) ✋แม้ท่านจะบวชให้สตรีให้เป็นภิกษุณีเอง สตรีนั้นก็ไม่มีทางเป็นภิกษุณีได้เลย ✋ บวชให้ไปก็เสียเปล่าแถมต้องอาบัติอีก ✋ สตรีผู้เข้าบวชก็เท่ากับถูกหลอกให้เป็นภิกษุณีเท่านั้นเอง ไม่สามารถสำเร็จเป็นภิกษุณี เข้าลักษณะปาราชิกตั้งแต่เริ่มบวชหรือก่อนบวชแล้ว...
http://www.matichon.co.th/news/453999 |
กระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์เรื่องภิกษุณีที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ปัจจุบันก็มีกระแสข่าวในโลกโซเซี่ยล เรียกร้องขอให้แก้พรบ.สงฆ์ รับรองการบวชภิกษุณีสงฆ์ได้ ไม่ผิดกฏหมาย (ติตามอ่านเพิ่มเติมที่ http://www.matichon.co.th/news/453999)
ซึ่งประเด็นนี้พระเทพวิสุทธิกวี เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้เคยเขียนบทความ เพื่อชี้แจงและสร้างความเข้าใจถูกต่อเรื่องการบวชภิกษุณีในประเทศไทยไว้แล้ว ดังนี้
สืบเนื่องจากที่มติมหาเถรสมาคมมีมติห้ามภิกษุสงฆ์ไทยให้การบรรพชาอุปสมบท แก่สตรี เป็นสามเณรี-ภิกษุณีเมื่อสมัยประชุมวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ที่ผ่านมา กลายเป็นข่าวต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันในสังคมออนไลน์อย่างกว้างขวาง เอากันกระทั่งพระมหาเถระที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม ซึ่งประกอบด้วยพระมหาเถระอายุพรรษามากๆ เกือบจะทั้งหมดบวชมาเกินกว่า ๕๐ พรรษา (บวชมากว่า ๕๐ พรรษา ส่วนมากเกินกว่า ๖๐ พรรษา) อายุก็กว่า ๗๐ ปี กลายเป็นจำเลยของคนในสังคมออนไลน์ไปโดยพลัน
“เป็นพฤติกรรมสอนสังฆราช เป็นพฤติกรรมถอนหงอกผู้เฒ่า เป็นพฤติกรรมก้าวร้าวของผู้ด้อยการศึกษาในพระพุทธศาสนา เป็นพฤติกรรมของผู้ด้อยปัญญาในพระธรรมวินัย เป็นพฤติกรรมของผู้หลงใหลในสิทธิเสรีภาพแบบขยะของโลกตะวันตก เป็นพฤติกรรมลามกของบุคคล ผู้น่าสงสาร เป็นพฤติกรรมของลูกหลานผู้ไร้วัฒนธรรมแห่งชนชาติของตน
http://www.manager.co.th/Politics/.. |
พระมหาเถระเหล่านั้นตกเป็นจำเลยในข้อหาอย่างน้อย ๓ ข้อคือ
๑.จำกัดสิทธิเสรีภาพสตรี ๒.ปฏิบัติขัดหลักสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน
๓.ปฏิบัติขัดต่อหลักรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา ๔ ล้วนเป็นข้อหาฉกาจฉกรรจ์
ข้อหาทั้ง ๓ ข้อนี้มีสาเหตุมาจากการประกาศห้ามพระภิกษุสงฆ์ไทยให้บรรพชาอุปสมบทแก่สตรีเป็นสามเณรีและภิกษุณี (เถรวาท) และห้ามภิกษุสงฆ์ชาติอื่นมาทำการบรรพชาและอุปสมบทแก่สตรีแบบเถรวาทในประเทศไทยก่อนได้รับอนุญาตจากคณะสงฆ์ไทย
ความจริงมหาเถรสมาคมนั้น ท่านจะประกาศห้ามหรือไม่ประกาศห้ามก็มีค่าเท่ากัน เพราะ
✋ แม้ท่านจะบวชให้สตรีให้เป็นภิกษุณีเอง สตรีนั้นก็ไม่มีทางเป็นภิกษุณีได้เลย
✋ บวชให้ไปก็เสียเปล่าแถมต้องอาบัติอีก
✋ สตรีผู้เข้าบวชก็เท่ากับถูกหลอกให้เป็นภิกษุณีเท่านั้นเอง ไม่สามารถสำเร็จเป็นภิกษุณี เข้าลักษณะปาราชิกตั้งแต่เริ่มบวชหรือก่อนบวชแล้ว
มีสตรีบางท่านออกมาบอกว่าได้ศึกษามาดีแล้ว บวชได้แน่นอนแสดงความอ่อนด้อยปัญญาออกมาชัดๆ ทั้งนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่า
๑. พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์ทำการให้อุปสมบทแก่สตรีซึ่งไม่ได้รับการอุปสมบทมาจากภิกษุณีสงฆ์ก่อน
๒. ผู้ที่เป็นภิกษุณีต้องเคารพในพระวินัย ต้องเคารพในครุธรรม ๘ การที่ภิกษุสงฆ์จะบวชให้ใครต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัยโดยเคร่งครัด ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยจะเป็นภิกษุณีได้อย่างไร
๓. พระภิกษุสงฆ์ท่านเคารพพระธรรมวินัยเป็นศาสดา ตามบทพระบาลีในมหาปรินิพพานสูตรที่ว่า โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา แปลว่า “ดูกรอานนท์ พระธรรมและพระวินัยอันใดที่เรา (ตถาคต) ได้แสดงไว้แล้ว ไดบัญญัติไว้แล้ว แก่เธอทั้งหลาย โดยกาลที่ล่วงไปแห่งเรา (ตถาคต) พระธรรมและพระวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาของพวกเธอ” ภิกษุใดไม่ทำตามนี้ย่อมชื่อว่าไม่เคารพพระศาสดา เมื่อไม่เคารพพระศาสดาการดำรงตนเป็นภิกษุสงฆ์ก็จะมีประโยชน์อะไร
๔. ในอปริหานิยธรรมสูตร พระสูตรว่าด้วยเรื่องหลักแห่งความไม่เสื่อมของหมู่คณะ มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว เอาเฉพาะข้อที่ ๓ ว่า “ไม่บัญญัติสิกขาบทพระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ ไม่รื้อถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว” หมายความว่า ถ้าภิกษุรูปใดให้การอุปสมบทแก่สตรีเป็นภิกษุณี ก็เท่ากับว่าภิกษุรูปนั้นบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ รื้อถอนถอนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว นั่นคือทำให้พระศาสนาเสื่อม อย่างนั้นแล้วจะเป็นภิกษุอยู่ทำไม
๕. พระภิกษุสงฆ์ท่านเคารพในพระศาสดาคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ท่านเคารพในหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่ท่านเคารพหลักสิทธิเสรีภาพ ท่านไม่ได้เอาหลักเหล่านี้เป็นศาสดา จึงต้องปฏิบัติตามคำสอนของศาสดา
๖. พระภิกษุสงฆ์ท่านไม่ได้เอารัฐธรรมนูญเป็นศาสดา แต่ท่านเอาพระธรรมและพระวินัยเป็นศาสดา ลองคิดดูเถอะว่าถ้าท่านเอารัฐธรรมนูญเป็นศาสดา ถึงวันนี้พระศาสดาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไทยเรามีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ๑๘ ฉบับ หนึ่งฉบับก็เป็น ๑ หน้า พระพุทธเจ้าก็คงจะ ๑๘ หน้า ๑๙ หน้าไปแล้ว
๗. เหตุแห่งความเสื่อมของพระศาสนา ๕ อย่างคือ
๑. พุทธบริษัท ไม่ฟังธรรมโดยเคารพ
๒. พุทธบริษัท ไม่เรียนธรรมโดยเคารพ
๓. พุทธบริษัทไม่ทรงจำธรรมโดยเคารพ
๔. พุทธบริษัท ไม่พิจารณาธรรมที่ทรงจำไว้ได้แล้วโดยเคารพ
๕. พุทธบริษัท ไม่ยอมปฏิบัติธรรมตามที่ได้ศึกษาเข้าใจแล้วโดยเคารพ
ข้อสุดท้ายคือการไม่ปฏิบัติตามพระธรรมที่ศึกษาแล้ว แสดงว่าไม่เคารพต่อพระธรรมวินัย พระภิกษุสงฆ์ไทยท่านรักษาพระพุทธศาสนามาได้ ๒๓๐๐ กว่าปี เพราะท่านปฏิบัติพระธรรมวินัยมาด้วยความเคารพพระธรรมวินัย การที่นักสิทธิมนุษยชนมาขอร้องหรือมาบังคับให้ท่านทำตามตนย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่หากเป็นไปได้เมื่อใดก็เป็นอันว่านับถอยหลังพระพุทธศาสนาได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าท่านคงไม่ยอมทำเช่นนั้น
https://goo.gl/3b3mhi |
๘. ไม่เคยมีหลักฐานใดแสดงว่าเชื้อสายภิกษุณีสายเถรวาทเคยเข้ามาสู่ประเทศไทย เอากันตั้งแต่ยุค สุวรรณภูมิ ที่พระเจ้าอโศกมหาราชส่งพระโสณเถระ พระอุตตรเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยเถระ พระมุนียเถระ เข้ามาสู่สุวรรณภูมิเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ ท่านก็ไม่มีภิกษุณีมาด้วย เมื่อกุลธิดา ต้องการจะบวชท่านก็ให้บวชเป็น “ชี” นับตั้งแต่ พ.ศ. นั้นเองที่แม่ชีเกิดมีขึ้นในแผ่นดินสุวรรณภูมินี้
แล้วมาถึงวันนี้พระภิกษุสงฆ์จะทำการอุปสมบทให้แก่สตรีได้อย่างไร (จาก...พุทธสาสนภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย หน้า ๔๔๐)
๙. พระภิกษุสงฆ์ ท่านจะไม่ทำตัวเป็นศาสดาเสียเอง และจะไม่ทำตามคำขอร้องหรือข้อบังคับของใครที่ออกนอกพระธรรมวินัย จะมาอ้างเป็นนักสิทธิมนุษยชน เป็นนักเสรีภาพ เป็นนักประชาธิปไตย เป็นนักร่างกฎหมาย หรือนักใดๆ ก็นักไปเถอะ เว้นแต่ภิกษุสงฆ์ท่านผู้นั้นจะเป็นพระนอกคอก คือนอกพระธรรม นอกพระวินัยเท่านั้น ไม่เคารพในพระศาสดาเท่านั้น
๑๐. การวิพากษ์ว่าพระสงฆ์ไทยใจแคบก็คือการด่าพระสงฆ์ การวิพากษ์ว่าพระสงฆ์ไม่เคารพหลักสิทธิมนุษยชนก็คือการด่าพระสงฆ์ การที่มีข่าวทางโซเชียลมีเดียว่าจะไปสอบพระสงฆ์ซึ่งดำรงตำแหน่งมหาเถรสมาคม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าท่านมีมติไปตามพระธรรมวินัย นับว่าเป็นวาทะที่น่าสมเพชเวทนาที่สุด ไม่รู้ว่าเขาเหล่านั้นมาจากโลกไหนสวรรค์ไหน ความจริงพระภิกษุสงฆ์ท่านก็มีสิทธิเสรีภาพของท่านเหมือนกัน จะไปรุกล้ำสิทธิเสรีภาพของท่านได้อย่างไร
๑๑. จากข่าวเรื่องการบวชภิกษุณี ได้ทราบว่าสตรีเหล่านั้นบางส่วนไปบวชมาจากประเทศอื่น และกว่าสามสิบชีวิตมาบวชที่เกาะยอจังหวัดสงขลา แต่เอาพระภิกษุจากต่างประเทศมาเป็นพระอุปัชฌาย์ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า อุปัชฌาย์นั้นมีความรู้เรื่องพระวินัยเพียงใด มาจากพระสงฆ์นิกายไหน ท่านมีมารยาทเหมาะสมหรือสมควรเพียงไร ในการที่จะมาเป็นอุปัชฌาย์เพื่อให้เกิดปัญหาขึ้นในสังคมไทย
https://goo.gl/3b3mhi |
สรุปว่า ใครจะปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติไปเถอะ ไม่มีใครกีดกัน ทุกคนสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่ อย่าไปบังคับขู่เข็ญคนอื่นเขา อย่าไปล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพของคนอื่นเขา พระสงฆ์ท่านยอมรับในกฎเกณฑ์กติกา ยอมที่จะไม่มีครอบครัว ยอมที่จะสละชีวิตบูชาพระธรรมวินัยอันเป็นสิ่งแทนพระบรมศาสดา มหาเถรสมาคมท่านปฏิบัติหน้าที่ของท่านถูกต้องแล้ว ส่วนว่าใครจะบูชาหลักสิทธิมนุษยชนหรือบูชารัฐธรรมนูญเป็นศาสดาก็เชิญตามอัธยาสัยเถิด
ได้อ่านข้อความของนักวิชาการบางท่านเพ้อเจ้อรายมายไปว่า พระสงฆ์มีเงินจะต้องตรวจสอบเงินพระ สงฆ์บ้าง พระสงฆ์บางรูปประพฤติตัวไม่เหมาะอย่างนั้นอย่างนี้บ้าง งานบวชมีการถวายเงินแก่พระอุปัชฌาย์บ้าง ถามว่าพระพุทธเจ้าห้ามอย่างไร ให้ลองไปอ่านมาใหม่ ที่ว่ามานั้นแสดงให้เห็นว่าผู้วิพากษ์มีความรู้ยังไม่สามารถเทียบได้กับจบชั้นประถมต้นเลย แต่กลับแสดงความรู้ชั้นอุดมศึกษา เป็นการอวดรู้มากเกินไป ตนเองเคยทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศชาติกับพระศาสนาบ้าง ถ้าจะมีเรื่องผิดจริงจะผิดมากผิดน้อยนั่นก็เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ไม่ใช่เรื่องขององค์กรแห่งพระศาสนา และถ้าจะมีเจตนาดีช่วยกันแก้ปัญหาก็ต้องไปแก้กันที่จุดนั้น ไม่ใช่มาคิดล้มล้างองค์กรพระพุทธศาสนา
ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ไม่ได้ออกมาแก้ต่างให้ใครเป็นการเฉพาะ แต่ชี้แจงมาเพื่อพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นสถาบันหลัก ๑ ใน ๓ ของชนชาติไทย และชี้แจงมาเพื่อความถูกต้อง ไม่ได้มุ่งลบหลู่ดูหมิ่นใครหรือยกย่องใคร จึงขอให้ท่านผู้มีสัมมาทิฏฐิทั้งหลายได้ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาด้วยความตรงไปตรงมาด้วย
ขอบคุณข้อมูล
1. พระเทพวิสุทธิกวี
เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ http://www.bpct.org/index.php?articleid=18
2.ขอบคุณภาพจาก Google
ไขข้อสงสัย เรื่องภิกษุณี...(พุทธเถรวาท) ✋แม้ท่านจะบวชให้สตรีให้เป็นภิกษุณีเอง สตรีนั้นก็ไม่มีทางเป็นภิกษุณีได้เลย ✋ บวชให้ไปก็เสียเปล่าแถมต้องอาบัติอีก ✋ สตรีผู้เข้าบวชก็เท่ากับถูกหลอกให้เป็นภิกษุณีเท่านั้นเอง ไม่สามารถสำเร็จเป็นภิกษุณี เข้าลักษณะปาราชิกตั้งแต่เริ่มบวชหรือก่อนบวชแล้ว...
Reviewed by Mali_Smile1978
on
20:18
Rating:
ถ้าไม่เชือในพระธรรมพระวินัยแล้วจะเป็นชาวพุทธได้หรือ พระพุทธเจ้าต้องการให้ขาดให้หมดไปเร็ว ดว้ยวินัยที่มากกว่าพระ แค่บวชชีก็ได้นี่บวชเป็นพระไม่ได้บวชใจแทนไม่ได้หรือ
ตอบลบต้องยึดพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้ ไม่เช่นจะพากันตีความมากมาย
ตอบลบต้องยึดพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์บัญญัติไว้ ไม่เช่นจะพากันตีความมากมาย
ตอบลบขบวนการสร้างความแตกแยกให้สังคมพุทธ ชาวพุทธอย่าได้หลงไปตามกระแสสีอ พระสงฆ์ย่อมรู้พระธรรมวินัยกว่าฆราวาสที่ยังหมกมุ่นในกามมากมายนัก
ตอบลบขบวนการสร้างความแตกแยกให้สังคมพุทธ ชาวพุทธอย่าได้หลงไปตามกระแสสีอ พระสงฆ์ย่อมรู้พระธรรมวินัยกว่าฆราวาสที่ยังหมกมุ่นในกามมากมายนัก
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบเรื่องของพระให้ท่านดูแลกันเอง เพราะท่านมีพระธรรมวินัยปกครองกันอยู่แล้ว ฆราวาสปล่อยท่านเถิดอย่าไปยุ่ง
ตอบลบยึดพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบสมัยนี้ ไวจริงๆ ทำไมไม่ย้อนกลับไปดูพระราชวิจฉัย ของร.7 บ้าง
ตอบลบเคยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมาแล้ว พระองค์ทรงพระวิจฉัย ชัดเจน
ท่านกล่าวถูกต้อง เราต้องยึดหลักของพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค่ะ...
ตอบลบคนจะศักดิ์สิทธิ์ และน่าเคารพได้ เพราะมีศีลระดับต่างๆเอย.
ตอบลบไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ที่ให้กลุ่มคนที่ศีล 5 ยังไม่ครบ นำวิธีทางการเมือง มาแทรกแซงการปกครองของการคณะสงฆ์
ตอบลบไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง ที่ให้กลุ่มคนที่ศีล 5 ยังไม่ครบ นำวิธีทางการเมือง มาแทรกแซงการปกครองของการคณะสงฆ์
ตอบลบควรศึกษาพระธรรมวันัยให้ชัดเจนก่อนนะคะ ก่อนที่จะแสดงการขอบวชเป็นภิกษุนี ผู้หญิงเวลามีรอบเดือน จะลำบาก จะต้องสำรวมระวังจีวรมิให้เปรอะเปื้อนื เป็นเรื่องยากกลายเรื่องคะ
ตอบลบ